ไขข้อสงสัย! เครื่องชงกาแฟมีกี่ระดับ? เลือกซื้ออย่างไรให้เหมาะกับคุณ
หลายคนน่าจะเคยเจอปัญหา จะเลือกเครื่องชงกาแฟซักตัวมาใช้ แต่พบว่ามันมีเยอะมากมายเหลือเกิน บางครั้งซื้อเครื่องมาแล้วกลับพบว่ามันไม่ตอบโจทย์ความต้องการ บางคนอาจจะซื้อเครื่องแบบ Home-use มาเปิดร้าน กลายเป็นว่าเจอปัญหาด้านประสิทธิภาพนำไปสู่ความไม่พอใจของลูกค้า สรุปแล้วเราต้องเลือกซื้อเครื่องแบบไหนกันล่ะ? ซึ่งวันนี้เราได้จัดประเภทของเครื่องชงกาแฟในระดับต่าง ๆ และข้อสังเกตมาไว้ให้แล้ว เพื่อให้ทุกคนสามารถเลือกเครื่องชงกาแฟที่ตอบโจทย์การใช้งานของตัวเองได้มากที่สุด! ว่าแล้วไปดูกันครับว่าจะมีอะไรบ้าง!
เครื่องชงกาแฟในระดับต่าง ๆ
โดยในบทความนี้เราจะได้แยกเครื่องชงกาแฟออกเป็น 4 ระดับหลัก ๆ ด้วยกัน โดยจะประกอบไปด้วย เครื่องสำหรับใช้ในบ้าน เครื่องระดับเริ่มต้น เครื่องกึ่งพาณิชย์ และเครื่องระดับพาณิชย์ ซึ่งข้อแตกต่างของแต่ละระดับนั้นจะมีดังนี้
เครื่องชงกาแฟสำหรับใช้ในบ้าน (Home Use)
เครื่อง home use เป็นเครื่องขนาดเล็กที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งานในบ้าน อาจจะใช้ชงสัก 10-15 แก้ว/วัน ด้วยหม้อต้มและปั๊มน้ำขนาดเล็ก แถมยังเป็นปั๊มระบบสั่น (Vibration) ไม่เหมาะสำหรับการชงต่อเนื่อง ทำให้อาจจะไม่ตอบโจทย์กับการเปิดร้านกาแฟที่จะต้องรองรับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
เครื่องชงกาแฟระดับเริ่มต้น ใช้เปิดร้านได้ (Entry Level)
เครื่องชงระดับนี้จะเริ่มสามารถใช้เปิดร้านขนาดเล็ก ๆ ได้แล้ว อาจจะเหมาะกับร้านที่มียอดขายประมาณ 50-70 แก้ว/วัน ซึ่งมักจะมีปั๊มขนาดใหญ่ขึ้น ฮีทเตอร์ใหญ่ขึ้น ทำให้หม้อต้มสามารถทำความร้อนได้ดี และสามารถเก็บน้ำได้มากขึ้น แต่ส่วนมากมักจะเป็นหม้อต้มเดี่ยวอยู่ วัสดุต่าง ๆ ก็มักจะดีขึ้นจากเครื่อง home use ทำให้สามารถใช้งานได้ยาวนานและทนทานมากขึ้น
เครื่องชงกาแฟระดับกลาง หรือกึ่งพาณิชย์ (Mid Range, Semi Commercial)
เครื่องชงระดับต่อมาจะเป็นระดับกึ่งพาณิชย์ หรือที่คุ้นหูกันว่า กึ่ง commercial ซึ่งมักจะมีการอัปเกรดระบบจ่ายน้ำร้อน ระบบสตีมนม โดยมีหม้อต้มที่ใหญ่ขึ้น ในเรทราคาประมาณนี้อาจจะเริ่มมี 2 หม้อต้ม หรือสามารถปรับอุณหภูมิได้แล้ว และจะมีฟีเจอร์เพิ่มมากขึ้น สามารถรองรับยอดขายได้มากขึ้นในหลัก 80-100 แก้ว/วัน
เครื่องชงกาแฟระดับไฮเอนด์ หรือเครื่องชงกาแฟพาณิชย์ (High End, Commercial)
เครื่องระดับนี้เรียกว่าออกแบบมาเพื่อการเปิดร้านกาแฟแบบจริงจัง โดยส่วนมากมักจะใช้ปั๊ม rotary แทนปั๊ม vibration สามารถจ่ายน้ำและส่งแรงดันได้นิ่งขึ้นมาก ๆ ทำให้ได้กาแฟที่มีคุณภาพสม่ำเสมอ นอกจากนี้หม้อต้มจะใหญ่ขึ้นมาก อาจจะจุน้ำได้ 6-8 ลิตรสำหรับเครื่องหนึ่งหัวชง และ 10-11 ลิตรสำหรับเครื่องสองหัวชง รองรับยอดขายได้ 200-300 แก้ว/วัน และนอกจากนี้ในเครื่องระดับ Commercial ยังแบ่งย่อยออกเป็น 2 ประเภทได้อีก คือ
1.เครื่อง Commercial ทั่วไป หลัก ๆ การควบคุมอุณหภูมิจะเป็นแบบ thermostat ซึ่งจะทำงานแบบเปิดปิดเมื่อถึงอุณหภูมิที่ตั้งไว้ ทำให้อุณหภูมิอาจแกว่งได้เล็กน้อย
2.เครื่อง Commercial อัปเกรด จะใช้ PID ในการควบคุมอุณหภูมิแทน ซึ่งหากตั้งอุณภูมิไว้แล้วมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เครื่องจะทำอุณหภูมิให้ถึงจุดที่ตั้งไว้ทันที ทำให้รักษาอุณหภูมิได้เสถียรมากกว่า นอกจากนี้อาจจะยังสามารถตั้งอุณภูมิหม้อต้มแยกกันได้ด้วย
ปัจจัยที่ควรพิจารณาในการเลือกซื้อเครื่องชงกาแฟ
หากพูดกันตามตรงปัจจัยในการเลือกซื้ออะไรซักอย่างนั้นคงมีเยอะแยะมากมายขึ้นอยู่กับบุคคล ซึ่งในที่นี้เราคงไม่สามารถระบุได้ครบทุกอย่าง แต่อย่างไรก็ตามเราได้คัดเอาปัจจัยหลัก ๆ ที่คุณควรใช้ในการพิจารณามาได้ดังนี้ครับวัตถุประสงค์ในการใช้งาน
1. วัตถุประสงค์ในการใช้งาน
หากคุณจะเลือกเครื่องชงกาแฟสักเครื่อง ปัจจัยแรก ๆ ที่คุณควรต้องตอบตัวเองให้ได้เลยก็คือ นำไปใช้ทำอะไร? อยากจะได้เครื่องชงกาแฟเพื่อใช้งานในบ้าน อยากนำไปเปิดร้านเล็ก ๆ หรือนำไปเปิดร้านคาเฟ่จริงจัง ซึ่งจะทำให้คุณสามารถสโคปตัวเลือกให้น้อยลงและตรงเป้าหมายมากขึ้นได้
2. ปริมาณการชงในแต่ละวัน
ข้อนี้เองก็จะสอดคล้องกับข้อแรก หากแต่ว่าเราอาจจะต้องดูเพิ่มขึ้นมาอีกหน่อย เช่น ถ้าจะซื้อเครื่องชงกาแฟไปเปิดร้านเล็ก ๆ คิดไว้ว่าจะขายสัก 30-40 แก้ว/วัน เราควรต้องไปวางแผนและดูกลุ่มลูกค้าเราจริง ๆ ว่ามีโอกาสที่จะขายได้มากหรือน้อยกว่านั้นหรือเปล่า ซึ่งเราอาจจะต้องซื้อเครื่องที่รองรับได้ 50-70 แก้ว/วัน เผื่อในกรณีขายดีที่คาดไว้เล็กน้อย ไม่งั้นอาจจะกลายเป็นว่าเราต้องเสียเงินซ้ำซ้อนเนื่องจากต้องไปซื้อเครื่องชงกาแฟเพิ่มเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้านั่นเอง
3. งบประมาณ
เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลัก แน่นอนว่าหลายคนย่อมต้องอยากได้ของดีที่สุด แต่บางครั้งมันก็อาจจะแพงไปหน่อย ณ ขณะนั้น ซึ่งหากมองกันตามภาพรวมในปัจจุบัน เครื่องชงกาแฟและอุปกรณ์คุณภาพดีหลายอย่างเริ่มมีราคาที่จับต้องได้มากขึ้นแล้ว หากเราไม่ได้สนใจเรื่องภาพลักษณ์หรือเรื่องแบรนด์มากนัก อาจจะเลือกแบรนด์ที่เป็นรองลงมาไม่ได้มีชื่อติดตลาดแต่ยังคงมีคุณภาพที่ดี ราคาเหมาะสม ฟังก์ชันตอบโจทย์การใช้งาน ซึ่งก็จะช่วยลดภาระไปได้อีก
4. ฟังก์ชันการใช้งาน
อาจจะเกี่ยวข้องกับข้อก่อนหน้าโดยตรงในด้านงบประมาณ อย่างไรก็ตาม บางครั้งคุณอาจจะมีฟังก์ชันบางอย่างที่คุณอยากได้ซึ่งไม่มีให้ในบางรุ่น เช่น การตั้งอุณภูมิ การตั้งเวลา pre-infusion หม้อต้มคู่ที่จะทำให้สามารถชงและสตีมพร้อมกันได้ หรืออาจมองเป็นเรื่องของประสบการณ์การใช้งาน คุณอยากได้ประสบการณ์หรือความรู้สึกในการใช้งานแบบไหน? ซึ่งหากรู้ถึงความต้องการของตัวเองก็จะทำให้เลือกได้ง่ายขึ้นนั่นเอง
สรุป:
เมื่อเลือกเครื่องชงกาแฟ ควรเลือกตามวัตถุประสงค์การใช้งาน อย่างการใช้เครื่องสำหรับใช้งานในบ้านมาเปิดร้านอาจจะไม่เหมาะนัก เพราะเครื่องจะเสื่อมสภาพเร็วและให้คุณภาพกาแฟที่ไม่สม่ำเสมอ ซึ่งอาจจะนำไปสู่การสูญเสียลูกค้าได้
การเลือกเครื่องจากฟังก์ชันและการใช้งานก็สำคัญ เช่น ปั๊มในเครื่องชงกาแฟเองมีหลายประเภท ปั๊ม vibration ขนาดเล็ก มักให้แรงดันไม่คงที่ ขณะที่ปั๊ม rotary ในเครื่องชงระดับ commercial สามารถให้แรงดันคงที่ 8-9 บาร์ ซึ่งเป็นมาตรฐานของอุตสาหกรรม หรือยิ่งไปกว่านั้นอาจจะเป็นปั๊มแบบเกียร์ไปเลย เครื่องไฮเอนด์เองก็มักมีฟีเจอร์เพิ่มเข้ามาช่วยเหลือในการสกัด เช่น ระบบปรับโปรไฟล์แรงดันเพื่อดึงรสชาติของกาแฟ (ความหวาน ความเปรี้ยว ความขม) และการควบคุมอัตราการไหลของน้ำอย่างแม่นยำ
สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นเปิดร้านควรลงทุนในเครื่องระดับที่เหมาะสม ดีกว่าพยายามประหยัดด้วยเครื่องสำหรับใช้ในบ้าน และเมื่อตัดสินใจซื้อ ควรเลือกเครื่องที่มีความสามารถสูงกว่าความต้องการปัจจุบัน เช่น หากคาดว่าจะขายวันละ 60 แก้ว ควรเลือกเครื่องที่รองรับได้ 100 แก้ว เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจ
หากสามารถทำความเข้าใจความแตกต่าง ฟังก์ชัน และปัจจัยต่าง ๆ ได้แล้ว และสามารถตอบตัวเองได้ว่าอยากได้เครื่องไปใช้งานอะไร คุณก็จะสามารถเลือกเครื่องชงกาแฟที่ตอบโจทย์การใช้งานของคุณได้อย่างแน่นอน
และครั้งหน้าเราจะกลับมาพร้อมกับสาระอะไรดี ๆ อีกนั้น รอติดตามกันได้เลยครับ
-R.WWCF